ปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
ราคาทองคำในวันที่ 10 มกราคม 2568 มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์หลายประการ ดังนี้
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คาดว่า Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในไตรมาส 4 ปี 2024 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำจะลดลง
- ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อราคาทองคำในประเทศ หากเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาทองคำในประเทศจะปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะคงที่ก็ตาม
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สถานการณ์ความไม่แน่นอน เช่น ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังคงส่งผลให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งอาจสนับสนุนราคาทองคำในระยะสั้น
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลการเลือกตั้งที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วกันอย่างรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลต่อความสนใจในการลงทุนทองคำและอาจทำให้ปริมาณการรีไซเคิลทองคำมีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
จากปัจจัยข้างต้น ราคาทองคำในวันที่ 10 มกราคม 2568 มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อาจส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศ
แนวโน้มราคาทองคำจากกราฟเทคนิคเพิ่มเติม
จากกราฟสรุปการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ได้ดังนี้
1. แนวโน้มราคา (Trend Analysis)
- กราฟแสดงราคาทองคำในกรอบเวลา 30 นาที โดยราคามีการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยมีจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) และจุดต่ำสุดที่ยกตัวขึ้น (Higher Low) ในบางช่วง ซึ่งบ่งชี้ว่าราคากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นระยะสั้น (Short-term Uptrend)
2. อินดิเคเตอร์ MACD
- เส้น MACD (เส้นสีน้ำเงิน) อยู่เหนือเส้น Signal Line (เส้นสีส้ม) ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงซื้อ (Bullish Momentum) ที่เริ่มเพิ่มขึ้น
- ค่า Histogram มีค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งยืนยันถึงการเพิ่มขึ้นของโมเมนตัมในทิศทางขาขึ้น
- ระดับ 0 บน MACD เป็นโซนที่บ่งบอกว่าโมเมนตัมยังคงเป็นบวก
3. ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
- ในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้น มีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสนับสนุนการเคลื่อนไหวของราคาขาขึ้น
- หากปริมาณการซื้อขายลดลงในช่วงราคาทรงตัว อาจหมายถึงแรงซื้อเริ่มชะลอตัว
4. แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Levels)
- แนวรับสำคัญ อยู่ที่บริเวณ 2,655-2,660 (บริเวณที่มีการย่อตัวก่อนหน้า)
- แนวต้านสำคัญ อยู่ที่บริเวณ 2,670-2,675 (จุดสูงสุดล่าสุด)
5. การคาดการณ์ระยะสั้น
- หากราคาสามารถทะลุแนวต้านที่ 2,670-2,675 ได้อย่างแข็งแกร่ง ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อไปในระดับที่สูงขึ้น
- หากราคาปรับตัวลงต่ำกว่าแนวรับที่ 2,655 อาจมีการปรับฐาน (Correction) และราคาอาจลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 2,645
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน
- สำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไรระยะสั้น
- พิจารณาเปิดสถานะ “ซื้อ” หากราคาทะลุแนวต้านที่ 2,670 พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
- วางจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่บริเวณ 2,655
- สำหรับนักลงทุนระยะกลาง
- รอให้ราคาปรับฐานแล้วค่อยเข้าซื้อในบริเวณแนวรับ 2,655-2,660 เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- สำหรับนักลงทุนสายเทรนด์
- ติดตามการเคลื่อนไหวของ MACD และปริมาณการซื้อขาย หากโมเมนตัมยังคงแข็งแกร่ง ควรพิจารณาถือสถานะเดิมต่อไป