ปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
ราคาทองคำในวันที่ 11 มกราคม 2568 มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์หลายประการ ดังนี้
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คาดว่า Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในไตรมาส 4 ปี 2024 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำจะลดลง
- ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อราคาทองคำในประเทศ หากเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาทองคำในประเทศจะปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะคงที่ก็ตาม
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สถานการณ์ความไม่แน่นอน เช่น ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังคงส่งผลให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งอาจสนับสนุนราคาทองคำในระยะสั้น
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลการเลือกตั้งที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วกันอย่างรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลต่อความสนใจในการลงทุนทองคำและอาจทำให้ปริมาณการรีไซเคิลทองคำมีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
จากปัจจัยข้างต้น ราคาทองคำในวันที่ 11 มกราคม 2568 มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อาจส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศ
แนวโน้มราคาทองคำจากกราฟเทคนิคเพิ่มเติม
การเคลื่อนไหวของราคา
- ราคาแสดงลักษณะ แนวโน้มขาขึ้นระยะสั้น (Short-term Uptrend) โดยมีจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดเดิม และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Higher Highs และ Higher Lows)
- การเคลื่อนไหวล่าสุดอยู่ใกล้ แนวต้าน (Resistance) บริเวณราคา 2,681–2,684 ดอลลาร์ หากทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้ อาจเห็นการปรับตัวขึ้นต่อไป
ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้น แสดงถึงแรงซื้อที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้น (Bullish Volume Confirmation)
- อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายลดลงเล็กน้อยในช่วงท้ายของกราฟ อาจบ่งชี้ว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนตัว
ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Indicators)
- MACD (Moving Average Convergence Divergence)
- เส้น MACD (2.664) อยู่เหนือเส้น Signal Line (2.335) ซึ่งเป็นสัญญาณขาขึ้น (Bullish Signal)
- ค่าฮิสโตแกรม (Histogram) อยู่ในโซนบวก แสดงถึงโมเมนตัมเชิงบวก แต่เริ่มลดลงเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นการเตือนถึงแรงส่งที่ลดลง
- RSI (Relative Strength Index)
- แม้ไม่ได้ระบุในกราฟ แต่ควรตรวจสอบค่า RSI ว่าอยู่ในระดับ Overbought (สูงกว่า 70) หรือไม่ หากเข้าใกล้โซนนี้ อาจมีการพักฐาน
แนวรับและแนวต้านสำคัญ
- แนวรับ (Support)
- ระดับ 2,670 ดอลลาร์ (แนวรับระยะสั้น)
- ระดับ 2,660 ดอลลาร์ (แนวรับหลัก)
- แนวต้าน (Resistance)
- ระดับ 2,681–2,684 ดอลลาร์ (แนวต้านระยะสั้น)
- ระดับ 2,690 ดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป)
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน
- หากราคาทะลุแนวต้าน 2,684 ดอลลาร์
- อาจเข้าซื้อ (Buy) พร้อมตั้งเป้าหมายราคาที่ 2,690–2,700 ดอลลาร์
- ควรตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ใกล้ระดับแนวรับที่ 2,670 ดอลลาร์
- หากราคาปรับตัวลง
- อาจรอเข้าซื้อบริเวณแนวรับที่ 2,670 ดอลลาร์ หรือ 2,660 ดอลลาร์
- หากราคาไม่สามารถยืนเหนือแนวรับได้ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อเพิ่ม