ปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
ปัจจัยพื้นฐานที่คาดว่าจะมีผลต่อราคาทองคำในวันที่ 30 ตุลาคม 2024 มีดังนี้
- สภาวะเศรษฐกิจโลก ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก (รองจากอินเดีย) ยังคงกดดันราคาทองคำ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนหันไปถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
- แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงอยู่ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลลบต่อราคาทองคำ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงจะดึงดูดนักลงทุนให้หันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล
- ความต้องการทองคำในตลาดโลก ข้อมูลจาก MTS Gold ชี้ให้เห็นว่าการซื้อขายทองคำยังคงได้รับอิทธิพลจากความต้องการในตลาดอินเดียและจีน ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ยังคงมีความไม่แน่นอน ราคาทองคำอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดอุปสงค์
- สภาวะทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ เหตุการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคต่างๆ เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอื่นๆ อาจสร้างความไม่มั่นใจในตลาดการเงินโลก ทำให้เกิดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเป็นครั้งคราว
จากปัจจัยเหล่านี้ คาดว่าราคาทองคำในวันที่ 30 ตุลาคม 2024 มีแนวโน้มผันผวน และต้องจับตาดูทั้งความเคลื่อนไหวในตลาดการเงินและเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำในระยะสั้นและระยะยาว
แนวโน้มราคาทองคำจากกราฟเทคนิคเพิ่มเติม
- กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)
- จากกราฟ เราจะเห็นว่าราคามีการขึ้นลงสลับกัน แต่แนวโน้มโดยรวมมีการเคลื่อนตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 24 ตุลาคม โดยราคามีการปรับฐานเล็กน้อยในวันที่ 28-29 ตุลาคม ซึ่งอาจแสดงถึงการพักตัวของราคา
- หากแนวต้านที่ 2,751-2,755 เหรียญถูกเบรกได้ มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก เนื่องจากแนวต้านนี้เป็นระดับราคาที่มีแรงขายเข้ามาก่อนหน้านี้
- MACD (Moving Average Convergence Divergence)
- เส้น MACD และเส้น Signal Line ใกล้เคียงกัน แต่ในช่วงท้ายของกราฟสัญญาณ MACD เริ่มตัดลงต่ำกว่า Signal ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงในระยะสั้น
- อย่างไรก็ตาม หากเส้น MACD กลับมาตัดขึ้นเหนือเส้น Signal อีกครั้ง อาจเป็นสัญญาณของการปรับตัวขึ้นในวันถัดไป
- Volume (ปริมาณการซื้อขาย)
- ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นบ่งชี้ว่ามีแรงซื้อหนุน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีหากราคาสามารถเบรกแนวต้านได้สำเร็จ
- ในทางกลับกัน หากมีการขายออกมามากในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้น อาจแสดงถึงแรงขายที่เกิดจากการทำกำไร (Profit-taking)
สรุปแนวโน้มวันถัดไป
หากราคาสามารถเบรกแนวต้านที่ 2,755 เหรียญได้ อาจมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีก แต่หากแนวรับบริเวณ 2,740 เหรียญถูกทะลุลงมา อาจทำให้ราคาย่อตัวลงไปทดสอบระดับแนวรับที่ต่ำกว่า